ซากะ ไอ เลิฟ ยู
พอรู้ว่ามีวันหยุดยาวช่วงเดือนกค. ก็เลยตั้งใจว่าจะลาเพิ่มหนึ่งวันแล้วไปเที่ยวที่ไหนสักที่กัน
แพลนตั้งแต่ปลายเดือนเมษา เล็งๆ ว่าจะไปฮาจิโจจิม่า หรือโอกินาว่า (วันทะเลเนาะ ก็อยากไปทะเล) แต่ปรากฏว่าตั๋วไมล์เต็มหมดเลย คิดว่าทางสายการบินคงไม่ได้ปล่อยตั๋วมาเยอะเท่าไหร่ ช่วงหยุดยาวยังไงก็ขายได้อยู่แล้ว ขนาดเปลี่ยนแพลนขึ้นเหนือไปฮอกไกโด ก็ยังเต็มหมด
สุดท้ายก็เลยคุยกันว่าไม่ต้องเลือกสถานที่ละ ที่ไหนมีตั๋วว่าง ก็เอาที่นั่นแหละ ก็มีจังหวัดซากะนี่แหละที่มีไฟลท์เวลาที่เราต้องการ จังหวัดนี้คนญี่ปุ่นไม่อยากไปเที่ยวกัน เขาว่ามันไม่มีอะไร แต่ใหม่ชอบนะ ไม่มีอะไรนี่แหละดี ไม่ต้องไปเบียดใคร
ทริปนี้ใหม่ให้เทรุแพลนหมด ก็บอกแค่วัน วันแรกขอให้เลือกโรงแรมดีๆ หน่อย ที่เหลือยังไงก็ได้ เทรุก็จัดการจองโรงแรม เช่ารถ ฯลฯ ถึงวันเดินทางก็แพ็คกระเป๋าไปขึ้นเครื่องที่ฮาเนดะ
** ตอนนี้บล็อกเก่าๆ เละหมดเลยเพราะ photobucket เว็บที่เอารูปไปฝากไว้มันไม่ให้เอารูปไปใช้ที่อืนแล้ว กำลังคิดว่าจะทำยังไงดี… ลงรูปใหม่ ซึ่งก็คงจะใช้เวลาพอสมควร … หรือจะปล่อยมันไป เสียดายนะ บล็อกเขียนมาเป็นสิบปี
2017-07-14
ต้องออกจากบ้านตั้งแต่รถไฟเที่ยวแรกถึงจะทันขึ้นเครื่องจากฮาเนดะ 7.25
มัวแต่ไปเข้าคิวซื้อโอนิกิริ เกือบไปขึ้นเครื่องไม่ทัน ร้านมันอยู่หน้าเกท 60 ส่วนเกทของเราอยู่ที่ 68 เหมือนจะไม่ไกลแต่มันไกลกันมากเลยนะ น่าจะ 500 เมตรได้ วิ่งจนหอบแฮ่กๆ
ถึงสนามบินซากะ ก็ไปติดต่อรับรถที่เช่าไว้กับ Orix เช่าสี่วันแค่ 17,000 เยนเอง (ค่าเช่ารถอ่ะหมื่นต้นๆ แต่บวกประกันอะไรเข้าไป) ถ้าเลือกรถธรรมดาที่ไม่ใช่ไฮบริด ก็จะยิ่งถูกกว่านี้อีก
คราวนี้เราได้รถไฮบริดของฮอนด้าซึ่งเป็นรถใหม่ที่ยังไม่เคยมีใครเช่ามาก่อนเลย โชคดีมากๆ
คืนนี้เราจะพักกันที่ Ureshino onsen ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองซากะประมาณ 50 km ถนนค่อนข้างโล่ง คิดว่าถ้าขับไปเรื่อยๆ หนึ่งชั่วโมงก็น่าจะถึง
ยังมีเวลาอีกหลายชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาเช็คอินก็เลยคิดว่าจะเที่ยวตามทางไปเรื่อยๆ กะว่าให้ถึง รร เวลาเช็คอินพอดี
จังหวัดซาะกะ เป็นจังหวัดที่มีรายได้หลักจากการทำเกษตรเป็นหลัก ตั้งแต่ออกจากสนามบิน มองไปทางไหนก็เห็นแต่นาข้าวกับสวนผัก เขียวไปหมดทั้งสองข้างทาง
จุดแรกที่ไปแวะคือหาดโคลน แต่พอไปถึงปรากฏว่าน้ำขึ้นซะแล้วเลยไม่มีหาดให้ดูเลย
แวะทานข้าวเที่ยงกันก่อน
เป็นร้านซีฟู้ดปิ้งย่างที่เราสามารถเลือกของทะเลเองได้ ราคาก็ขึ้นอยู่กับน้ำหนัก บางอย่างก็ขายนับเป็นชิ้น/ตัว หอยนางรมคละไซส์สิบตัว 1000 เยน หอยหวาน (เอ๊ะ หรือหอยตลับ?) สิบตัว 500 เยน หอยซาซาเอะ ตัวละ 170 เยน ก็ถือว่าไม่แพง ปูชั่งตามน้ำหนัก ตัวที่เราเลือกประมาณสามขีด 2000 เยน อันนี้แพงอ่ะ แล้วกว่าจะได้กินใช้เวลาย่างนานพอสมควร
อากาศร้อนมาก ต้องย่างซีฟู้ดด้วยเตาถ่านด้วย ต้องคอยพัดเตาไม่ให้ไฟดับด้วยเวลาย่างหอยเนี่ยน้ำมันจะออกมาจากหอยแล้วทำให้ถ่านหมดไฟ เลยต้องคอยพัดเตาไม่ให้ดับ กินไปก็เหงื่อไหลไคลย้อย
แต่บรรยากาศดีนะ ร้านอยู่ริมทะเลเลยล่ะ
มื้อนี้จ่ายไปเกือบหกพันเยน หรูตั้งแต่มื้อแรกเลย
เทรุพาไปเที่ยวที่โรงผลิตเหล้าสาเก Nabeshima ซึ่งเป็นสาเกที่ผลิตที่จังหวัดซากะและเคยได้รับรางวัลในการแข่งขันไวน์โลกที่ประเทศอังกฤษด้วย
ไปถึงที่แต่ปรากฏว่าไม่มีสาเกขาย จนท ที่นั่นบอกว่า ที่โรงงานนี้เปิดเป็นแกลลอรี่ให้เข้าชมอย่างเดียว ถ้าจะซื้อต้องไปซื้อกับร้านเหล้าที่อยู่ในลิสต์ แหม ตั้งใจมาซื้อแท้ๆ ไม่ได้ใช้เงินเลย เสียใจ
ตอนเดินออกจากโรงงาน จนท วิ่งตามมาแล้วเอาแก้วสาเกโลโก้ Nabeshima มาให้บอกว่ามอบให้เป็นของที่ระลึก เขาคงสงสารเพราะเห็นเราเดินทางมาตั้งไกล น่ารักจริงๆ
เที่ยวต่อที่ Yutoku Inari Shrine
ที่จริงแล้วจากร้านที่แวะทานข้าวตะกี้ศาลเจ้านี้อยู่ห่างไปแค่ 3 กม เอง แต่เนื่องจากว่าเซ็ตนาวิเกเตอร์ในรถผิด (มุ่งหน้าไปอุเระชิโนะออนเซ็น) ก็เลยออกนอกทางไปซะไกล ต้องกลับรถกลับมาใช้เวลาเป็นชั่วโมง สุดท้ายก็มาถึงจนได้
ไม่รู้เพราะเป็นวันธรรมดาด้วยรึเปล่า คนเงี๊ยบ เงียบ ร้านขายของที่ระลึกข้างทางก็ปิดไปเยอะ เปิดทำการจริงๆ แต่ไม่กี่ร้านเอง แอบสงสารเค้านิดนึง ไม่มีคนมาเที่ยวเลยอ่ะ ไม่รู้ว่า ส อา คนจะเยอะกว่านี้รึเปล่า
อ้อ ลืมเล่าว่า มีป้ายภาษาไทยติดอยู่เป็นระยะๆ แต่ไม่เจอคนไทยมาเที่ยวเลย ช่วงที่ซีรีย์ซากะ ฉันจะคิดถึงเธอ ออกมาแรกๆ คงมีคนไทยมาเที่ยวเยอะพอสมควร แต่ตอนนี้แทบไม่เห็น
ที่ศาลเจ้ามีสวนญี่ปุ่นที่สวยมากๆ แล้วก็มีสระน้ำทีมีปลาคาร์พสีๆ เต็มบ่อเลย ซื้ออาหารปลามาเทให้แย่งกันกินใหญ่เลย (แอบคิดถึงข่าวโจรขโมยปลาคาร์พที่บ้านเรา)
จากนั้นก็ยิงยาวไปที่ Ureshino Onsen เลย มีพักเข้าห้องน้ำเป็นระยะๆ
คือนี้พักที่เรียวกังโยชิดะยะ *เดี๋ยวลงรายละเอียดกับราคาให้ท้ายบล็อกจ้า
อย่างที่บอกว่าทริปนี้ใหม่ให้เทรุจัดการทุกอย่าง ก็เลยไม่รู้ว่าเทรุจองที่ไหน พอมาถึงก็แบบ… เฮ้ย มันดีกว่าที่คิดไว้เยอะเลย เรียวกังญี่ปุ่นสไตล์โมเดิร์น ห้องพักทุกห้องมีชื่อเรียก ไม่ได้เป็นตัวเลขเหมือนโรงแรมอื่นๆ ห้องแช่ออนเซ็นก็มีแบบส่วนตัวไว้ให้บริการด้วย ไม่ต้องจอง ถ้าเห็นว่างก็เข้าไปใช้ได้เลย
พนักงานบริการดีมากกกกกกก เริ่มตั้งแต่ตอนเราเช็คอินเลย มีเวลคัลดริ้งค์กับขนมอร่อยๆ ให้ทานระหว่างรอ แล้วก็แนะนำสถานที่ ห้องอาบน้ำอยู่ไหน ใช้ยังไง แล้วก็เดินไปส่งถึงห้องเลย
ขนาดห้องใหม่ว่าเล็กไปนิด แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดเพราะว่าไม่มีเตียงนอน คือถ้าเป็นห้องแบบญี่ปุ่น พนักงานจะมาปูฟูกให้ตอนเรากินข้าวเย็น ตอนนี้ไม่นอนก็จะมีโต๊ะกับเก้าอี้แบบญี่ปุ่นให้นั่งจิบชา
ส่วนตรงนี้เป็นบาร์ มีบาร์เทนเดอร์ประจำจนถึงเที่ยงคืน มีอาชิยุให้แช่ด้วยถ้าระหว่างดื่มจะมานั่งชิวที่นี่ก็ได้
พอดีว่าไม่ได้ไปใช้ห้องอาบน้ำรวมก็เลยไม่รู้ว่าเป็นยังไง ห้องส่วนตัวจะมีทั้งแบบเอ้าท์ดอร์และอินดอร์ ได้บรรยากาศคนละแบบ
อาหารเย็นเทรุสั่งเป็น Kaiseki half course นี่คือขนาดฮาร์ฟแล้วยังเยอะเลยอ่ะ
ปกติอาหารญี่ปุ่นจะมาพร้อมกันทุกอย่างเป็นคอร์สใหญ่ๆ แต่ที่นี่ออกแนวฟิวชั่นคือมาเสิร์ฟทีละอย่าง ก็ค่อยๆ กินไป
เมนคอร์สเป็นชาบูชาบูเนื้อวัวซากะ ตบท้ายด้วยของหวาน พีชครีทบลูเล่ อันนี้อร่อยมากกกกกก อร่อยจนอยากเบิ้ล 55
คืนนี้ก่อนนอน ลงมาจิบสาเกกันพอเป็นกระษัย พอดีเค้ามีฟรีดริ้งค์ให้เป็นอุเมะชูท้องถิ่น
ลองชิมดูแล้ว ปรากฏว่าหวานมากกกกกกก
อย่างที่บอกว่าเค้ามีบาร์เทนเดอร์ประจำถึงเที่ยงคืน อยากดื่มอะไรก็สั่งได้เลย แค่แจ้งชื่อห้องแล้วก็ไปจ่ายตอนเช็คเอ้าท์พร้อมกันทีเดียว
สั่งสาเกสามชนิดมาลอง หนึ่งในนั้นก็มีนาเบะชิม่าด้วย เทรุบอกว่าอร่อย
2017-07-15
อาหารเช้าก็อร่อยนะยูว ธีมเดิมเลย คือ ปลา เต้าหู้ และข้าวต้ม
ทานอาหารเช้าเสร็จก็อาบน้ำแต่งตัวเตรียมเช็คเอ้าท์
แขกคนอื่นๆ ทยอยเช็คเอ้าท์ไปเกือบหมดแล้ว ห้องอาบน้ำก็เลยว่าง เมื่อคืนก็มาแช่น้ำที่ห้องนี้แต่มันมืดแล้วเลยไม่เห็นสวนข้างนอก
แช่ออนเซ็นช่วงหน้าร้อนนี่ต้องทำใจ แช่ได้ไม่ทนเท่าไหร่ อากาศก็ร้อนแล้ว น้ำก็ร้อนอีก เหอะ
ที่โรงแรมนี้มีคาเฟ่ด้วยนะ ถือว่าเป็นคาเฟ่ที่ชิคที่สุดในเมืองเลย
คนขับต้องการคาเฟอีน หุหุ
ชาฝรั่งเย็นแก้วนี้ แม้แต่น้ำแข็งก็ทำจากชา กะว่าต่อให้น้ำแข็งละลายชาก็ไม่จืด
น้องแพะมาสคอทของเรียวกัง ดุมาก จับก็ไม่ได้จะวิ่งไล่ขวิด ไล่กัดเรา ตอนพยายามถ่ายรูปเนี่ยมางับเสื้อผ้า งับกระเป๋า ไม่รับแขกเล้ย สงสัยต้องส่งไปอบรมมารยาทใหม่ ฮ่าฮ่า
จุดหมายแรกวันนี้ น้ำตก … อะไรสักอย่าง
ไม่ได้ตั้งใจจะไปหรอก แต่พอดีเช็คใน tripadvisor แล้วเห็นว่ามันอยู่ใกล้ๆ เลยแวะไปดู
ที่นี่นอกจากออนเซ็นจะมีชื่อเสียงแล้ว ชาเขียวเค้าก็ดัง ระหว่างที่ขับรถก็เจอไร่ชาตลอดทาง ปลูกตามไหล่เขา มองจากที่ไกลๆ สวยมาก เสียดายไม่มีรูปให้ดู
ออกจากที่นี่ก็ยิงยาวไปที่ Karatsu เลย เมืองนี้เป็นเมืองใหญ่อีกเมืองของซากะ ที่เที่ยวไม่มีหรอกแต่มีร้านข้าวหน้าปลาไหลที่อร่อยมาก นี่ขับรถมาไกลเพื่อข้าวหน้าปลาไหลเลยนะเนี่ย
ราคาก็ไม่เบาเลยล่ะ ดงบุริชามนี้ 2,xxx เยน แต่ก็อร่อยสมราคา
น้องเหมียวขี้หงุดหงิด จับไม่ได้เลยตบป้าบ – -*
ฝ้ายบอกว่าแมวไม่เหมือนหมา ไม่ชอบให้จับพุง แต่ลูบหัวได้ มิน่าล่ะ… เราจับผิดที่นี่เอง
จาก Karatsu ขับรถมาที่โยบุโกะ (ที่มีตลาดเช้าในซีรีย์ stay อ่ะแหละ) คืนนี้เราจะพัก homestay ที่นี่เพื่อที่พรุ่งนี้เช้าจะได้ไปตลาดกันแต่เช้า
ช่วงบ่าย นั่งเรือ Ikamaru ไปชมถ้ำหินปูน Nanatsugama
ChillchillJapan ให้ข้อมูลว่า
“ถ้ำหินปูน Nanatsugama คือกลุ่มถ้ำทั้งเจ็ดที่ถูกคลื่นน้ำทะเลกัดกร่อนเป็นเวลานานจนสึกกลายเป็นร่องรอยที่ทำให้ถ้ำมีรูปร่างแปลกประหลาดสวยงามและหาดูได้ยากยิ่ง
สำหรับการนั่งเรือไปชมถ้ำหินปูนแห่งนี้นั้นก็ไม่ยากลำบาก หากใครที่ต้องการไปชมถ้ำนี้ต่อหลังจากเดินตลาดก็เพียงเดินไปขึ้นเรือที่ชื่อว่า IKA MARU ที่อยู่บริเวณท่าเรือ Yobuko โดยมีรอบให้บริเวณตั้งแต่เวลา 9.30-16.30 น. (ออกจากท่าเรือทุก 1 ชั่วโมง ใช้เวลาในการเดินเรือ 40 นาที) มีค่าโดยสารอยู่ที่ 1,500 เยน สำหรับผู้ใหญ่ และ 750 เยน สำหรับเด็ก
นอกจากความสวยงามแปลกตาของถ้ำหินปูน Nanatsugama แล้ว ระหว่างที่เราล่องเรืออยู่ท่ามกลางทะเลนั้นก็ยังได้ชมบรรยากาศที่สวยงามของทะเลที่มีน้ำสวยใสและส่องประกายระยิบระยับทุกครั้งเมื่อแสงแดดสาดส่องมา ทำให้เพลิดเพลินและได้ชื่นชมความงามของทะเลไปตลอดทาง ใครอยากลองนั่งเรือล่องทะเลญี่ปุ่นไม่ควรพลาดกิจกรรมนี้”
ตอนที่เราไปขึ้นราคาเป็นคนละ 1,600 เยนแล้ว แต่ใช้เวลา 40 นาทีเท่าเดิม
นอกจากเรือปลาหมึก (อิกะมารุ) แล้วก็ยังมีเรือปลาวาฬ (จีรา) ด้วย แต่เรือปลาวาฬจะไปอีกเส้นทางนึง ข้อมูลจากเทรุว่าจะสามารถดูปลาได้จากท้องเรือที่เป็นกระจกด้วย ค่าตั๋วคนละ 2200 เยน
ถ้ำสวยอ่ะ เรือไปหยุดให้ถึงข้างในถ้าเลยแต่แค่แป๊บเดียว ด้วยเหตุผลว่า ถ้าจอดนานจะมีคนเมาเรือ
อากาศร้อนมากกกกกกก พอกลับมาถึงท่า ตั้งใจว่าจะไปหาคาเฟ่จิบอะไรเย็นๆ กันสักหน่อย แต่ไม่มีเลยระยะสิบกิโลเมตร มันบ้านนอกขนาดนั้นเลยอ่ะ
ขับรถหาคาเฟ่ไปเรื่อยๆ จนเจอ Cape Hado (อันนี้ก็มีในซีรีย์) วิวสวยมากกกกกก ถึงมากที่สุด แต่อากาศก็ร้อนมากด้วยเช่นกัน ฮ่าฮ่า
อันนี้จุดเช็คอิน หุหุ
นอกจากชมวิวแล้ว ที่นี่มีหาดให้ลงเล่นน้ำด้วย วันนี้อากาศร้อนก็เลยมีเด็กๆ มาเล่นน้ำเยอะเลย จากข้อมูลเขาว่าสามารถมาตั้งแคมป์ที่นี่ได้ด้วย
ใครอยากกินทะเลปิ้งย่าง โดยเฉพาะปลาหมึกแดดเดียวที่เป็นของดีของโยบุโกะ ก็มาลองชิมที่นี่ได้ พอดีว่าเรากินมาอิ่มแล้ว ก็เลยได้แต่เดินดู
ไม่รู้จะไปไหนแล้ว ไปเช็คอินเข้าที่พักเลยก็แล้วกัน
เรียวกังที่เราพักวันนี้เป็นเรียวกังสไตล์มินชูกุ (โฮมสเตย์) เทรุบอกว่าที่เลือกที่นี่เพราะรีวิวในเน็ตบอกว่าอาหารอร่อย ห้องพักไม่ได้หรูหราแต่ก็สะอาดสะอ้าน
เช็คอินอะไรเรียบร้อยคุณป้าแม่บ้านก็มาเรียกไปอาบน้ำ ห้องอาบน้ำมีแค่สองห้องเลยต้องผลัดกันใช้
ส่วนของอาหารนั้น….
มันมีหลายคอร์สให้เลือกนะ คอร์สปลาหมึก คอร์สกุ้งล็อบสเตอร์ คอร์สเนื้อซากะ ฯลฯ ส่วนราคาก็เพิ่มตามคอร์สที่เราเลือก
เนื่องจากที่โยบุโกะ ซาชิมิปลาหมึกสดๆ เป็นของขึ้นชื่อ มาถึงถิ่นแล้วก็ต้องลองสิ
ถ้ายังจำได้ใหม่เคยเขียนบล็อกเกี่ยวกับ Tsushima กับ Hakodate แล้ว ที่มีเมนูปลาหมึกคล้ายๆ กัน ที่โยบุโกะคือมัน another level เลยอ่ะ เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่คิดว่าปลาหมึกน่าจะยังไม่ตาย เชฟเอาออกแค่ตรงที่ถุงหมึกและใส้ ส่วนลำตัวและกระดอง (?) ไม่ได้เอาออก เสิร์ฟมาเป็นตัวดิบๆ แบบนี้เลย
แอบสงสารนิดนึง เลยรีบกินแล้วให้คุณป้าเอาหนวดไปทอดเทมปุระ (เป็นอีกครั้งทีโชยุหวานสปอยรสชาตอาหาร ฮือ….)
คือมันก็ไม่ได้มาดิ้นดุ๊กดิํกในปากนะ ส่วนที่กินสดๆ คือส่วนที่ไม่ขยับละ
ปกติอาหารนี่จะทานในห้องพัก ถึงเวลาป้าก็จะเอาอาหารมาเสิร์ฟ กินเสร็จก็เก็บ แต่พอดีวันที่เราพักห้องข้างๆ ไม่มีคนพัก ป้าเลยจัดอาหารให้ที่ห้องข้างๆ จะได้สะดวกหน่อย ซึ่งดีมากเลยเพราะห้องพักเราแคบแล้วยังมีกระเป๋าเดินทางนู่นนี่วางอยู่ที่พื้นอีก
กินข้าวเสร็จก็ไปเดินย่อยกัน ยังไม่สองทุ่มเลยแต่เงียบมาก ไม่รู้คนไปอยู่ที่ไหนกันหมด
2017-07-16
ตื่นแต่เช้า กินข้าวแล้วก็ไปเดินตลาด morning market กัน จากเรียวกังที่เราพักสามารถเดินไปได้เลย
อาหารเช้า ปลาอีกแล้วจ๊ะ หุหุ มิรินโบชิอร่อยอยู่นะ
Yobuko Morning market
จากที่หาข้อมูลมาคือ ตลาดจะเปิดทุกวันหกโมงเช้าถึงประมาณสิบโมง เราไปถึงประมาณเก้าโมงก็มีคนมาเดินคักคักพอสมควร (เมื่อคืนคือไม่เห็นมนุษย์เลยสักคน) คิดว่าถ้ามาเช้ามากก็คงไม่มีคนเท่าไหร่ เวลานี้แหละกำลังดี
ของที่ขายก็จะเป็นของทะเลสดๆ ซะเป็นส่วนใหญ่ ปลา ปลาหมึก หอย โดยเฉพาะหอยเม่น สามารถกินสดๆ ตรงนั้นได้เลย ราคาตัวละ 300-400 เยน ส่วนของฝากก็จะเป็นพวกทะเลแดดเดียว แล้วก็มีพวกลูกชิ้น คามาโบะโกะ อะไรประมาณนี้
ปลาหมึกนี่คือสดมากอ่ะ ตัวยังใสๆ อยู่เลย เอามาทำเป็นซาชิมิได้แน่นอน ไม่เคยเห็นหมึกแบบนี้ขายที่ไหนในโตเกียว หุหุ
มันก็ขายยากอ่ะนะ… ถ้าขายให้คนท้องถิ่นก็น่าจะได้อยู่ แต่ถ้ามองว่าขายให้นักท่องเที่ยว… มันขนส่งยาก บ้านเราตั้งใจจะซื้อก็เตรียมคูลเลอร์มาพร้อมใส่ แต่คนที่เค้ายังต้องไปต่อ ต้องขายของที่ซื้อแล้วกินได้ตรงนั้นเลย ไม่งั้นก็ขายไม่ได้
แต่สิ่งที่ดีของตลาดนี้ก็คือ Local vibes ยังอยู่ครบถ้วนเลยอ่ะ ไม่ดูเป็นตลาดเอาใจนักท่องเที่ยว
ได้อย่างมันก็เสียอย่างอ่ะนะ
หอยเม่นนี่ป้าแกะให้กินสดๆ เลย ตัวละสามร้อยเยน แต่ก็แล้วแต่ไซส์ ตัวโตราคาก็แพงขึ้น
ใครที่อยากซื้ออาหารทะเลแดดเดียว ไม่แนะนำให้ซื้อในตลาดนะ ให้ซื้อกับชาวประมงโดยตรงข้างนอกจะถูกกว่ามาก ปลาหมึกในรูปนี้ ไซส์ยักษ์สองตัวพันเยน ปลาแดดเดียวไซส์เดียวกันกับในตลาดเลย เจ้านี้ขาย 8 ตัว 500 เยน ถูกเหลือเชื่อจริงๆ
ตากปลาหมึกข้างทางแบบไม่กลัวหาย
เท่าที่ดูส่วนใหญ่พ่อค้าแม่ค้าจะเป็นคนแก่วัยปู่ย่าเราละ ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพอคนรุ่นนี้หมดไปแล้วจะมีใครสืบสานต่อมั้ย
สะพานข้ามซากะไปเกาะคาเบะชิม่า
ตอนแรกเทรุว่าจะพาไปกินข้าวที่ร้านอาหารลอยน้ำที่เรียกว่าเม็มโบ้ ก็คล้ายๆ โป๊ะหรือแพที่บ้านเรานั่นแหละ แต่จะพิเศษตรงที่ว่าส่วนที่เป็นร้านอาหารจริงๆ มันจะอยู่ใต้น้ำเลย เหมือนเรากินข้าวใต้ทะเล (เขาเล่าว่า… ไม่เคยเห็นกับตาหรอก) แต่ผ่านไปถึงร้านแล้วเห็นคนเยอะ ประกอบกับเรายังไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ด้วย ก็เลยเปลี่ยนแผน
จุดชมวิวที่เกาะคาเบะชิม่า
คืนนี้เราจะพักที่ รร แถวๆ สถานีซากะ จากโยบุโกะ ประมาณห้าสิบกม. เมื่อคืนใหม่หาข้อมูลมาแล้วว่า มีสวนผลไม้ให้เข้าไปเก็บบลูเบอร์รี่ได้ อยู่ห่างจากซากะประมาณขับรถ 20 นาที ก็เลยว่าจะมุ่งหน้าไปที่นั่น แต่ก่อนหน้านั้น เราจะขับรถไปแถว Genkai เพื่อดู Rice Terrace ที่ XX ก่อน
ญี่ปุ่นเป็นประเทศเกาะที่พื้นที่ 70% เป็นภูเขา พื้นที่เกษตรตามเชิงเขาส่วนใหญ่ก็จะทำเป็นขั้นบันได Rice terrace ที่ซากะนี่สวยติดหนึ่งในห้าของญี่ปุ่นเชียวนะ
มาตอนนี้ก็จะเห็นวิวเขียวๆ แต่ถ้ามาช่วงที่เพิ่มเริ่มปลูกข้าว ตอนที่น้ำเต็มนา แสงอาทิตย์จะกระทบกับผิวน้ำ ระยิบระยับสวยมาก (เขาว่างั้น ใหม่ก็ไม่เคยเห็น)
มาถึง Genkai แล้วก็นึกได้ว่า เมื่อปีที่แล้วเราเคยบริจาคภาษีให้เมืองนี้ด้วย ได้ปลาปั๊กเป้าแช่แข็งมาเป็นของตอบแทน ตอนที่บริจาคก็คิดแค่ว่าอยากบริจาคให้จังหวัดเล็กๆ แต่พอได้มาเที่ยวแล้วก็รู้สึกว่าตัดสินใจไม่ผิดเลย
อธิบายเรื่องบริจาคภาษีนิดนึง
ที่ญี่ปุ่นจะมีภาษีสองแบบ นั่นคือ
1. ภาษีรายได้ อันนี้เก็บเข้ารัฐบาลกลาง 2. ภาษีท้องที่ เก็บเข้าเทศบาลเมืองที่เราอยู่ อันนี้จะคำนวนจากรายได้ของปีที่แล้ว
ทีนี้เมืองใหญ่ๆ ที่คนอยู่เยอะๆ อย่างโตเกียวเนี่ย จะเก็บภาษีได้เยอะมาก แต่เมืองเล็กๆ แบบเทศบาลชนบท รายรับก็จะไม่เยอะเท่า ยิ่งถ้ามีคนแก่แล้วด้วย เงินก็เก็บได้น้อยแต่ค่าใช้จ่ายเยอะ รัฐบาลเขาก็เลยคิดโครงการบริจาคภาษีขึ้นมา
เราสามารถบริจาคเงินภาษีกึ่งนึงให้กับเมืองอื่นๆ ที่เราไม่ได้อยู่ได้ โดยแต่ละเมืองก็จะมีของตอบแทนให้ อาจจะเป็นของดีในท้องถิ่นอะไรก็ว่าไป (บางทีก็ไม่มีนะ แล้วแต่จังหวัด) โดยเงินบริจาคนี้จะจ่ายเป็นเงินสดหรือผ่านบัตรเครดิตก็ได้ แล้วส่วนที่เราจ่ายไปแล้วก็จะคำนวนเป็นส่วนลดของภาษีปีต่อไป (หวังว่าอ่านแล้วจะไม่งง)
ส่วนใหญ่ใหม่ก็จะเลือกเมืองเล็กๆ เช่น นาระ (เค้าส่งสตรอเบอร์รี่มาให้) ซากะ (ปลาปั๊กเป้า) นากาโน่ (ลูกพีช) ฯลฯ ปีนี้คิดว่าจะบริจาคให้ซากะ กับ นากาซากิ (เกาะ Tsushima) อาจจะยามะนะชิด้วย
มื้อกลางวัน
อันนี้ชุดเทมปุระ พันเยนเอง ได้เยอะมาก
แล้วก็ยิงยาว ขับรถขึ้นทางด่วนเข้าเมืองซากะเลย
เก็บบลูเบอร์รี่
มาถึงบ่ายสองพอดี อากาศร้อนมากกกกกกกกกกกกกก ถึงมากที่สุด
เก็บกินได้ไม่อั้นเลย คิดค่าบริการคนละ 600 เยน 30 นาที แต่ก็อยู่ไม่ถึงนั้นหรอก ร้อนมากแทบจะเอาชีวิตไม่รอด
ถ้าจะเอากลับบ้าน จะคิดตามน้ำหนัก 100 กรัม 320 เยน คุณลุงบอกว่า แต่ละต้นจะรสชาตเหมือนกัน ให้เราค่อยๆ เก็บชิมไป ชอบต้นไหนก็กินต้นนั้นมากหน่อย
ใหม่ก็กินได้ไม่เยอะหรอกแต่คิดว่ากินไปคุ้มเงินหกร้อยเยนอยู่ ส่วนที่เก็บกลับมา ชั่งน้ำหนักแล้ว 200 กรัม รู้สึกว่าแช่เย็นแล้วกินอร่อยกว่าที่เก็บสดๆ จากสวนนะ
ลืมบอกว่าที่สวนนี้ ออกานิค 100% จ้า มีผลไม้ให้เก็บตลอดทั้งปี (เดือนหน้ามีองุ่น) คุณลุงคุณป้าเจ้าของสวนใจดีมากกกกกกกก
อากาศร้อนมากก็เลยคุยกันว่าจะไปเช็คอินที่โรงแรม อาบน้ำอาบท่าละค่อยไปเที่ยวต่อ เหงื่อออกเยอะมากจนตัวเหนียว อย่างที่รู้ๆ กันว่า อุณหภูมิไม่เท่าไหร่หรอก (วันนี้ก็ 32-33 องศาเอง) สู้บ้านเราไม่ได้ แต่ความชื้นนี่สิ real killer
คือนี้พักที่ Business hotel หน้าสถานีซากะ ห้องสะอาดดี แต่ไร้การจดจำ ฮ่าฮ่า
อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ก็ออกไปเดินเล่นรอบๆ สถานีซากะ เทรุเซิร์ชข้อมูลมาว่าแถวนี้มีร้านขายเหล้าสาเกท้องถิ่น อยากจะแวะไปดูเผื่อจะมีนาเบะชิม่าขาย เดินหาอยู่พักนึงก็เจอร้าน
เที่ยวมาจนถึงวันสุดท้ายละ อยากบอกว่า คนคนที่ใจดีและน่ารักมากกกกก คืออย่างที่บอกว่าไม่ค่อยมีคนมาเที่ยวเท่าไหร่ พอมีคนมาเค้าก็ดูใส่ใจ คอยบริการและตอบคำถาม ที่สำคัญยิ้มแย้มแจ่มใส อย่างพี่ชายที่ร้านขายเหล้านี่ก็เหมือนกัน ตอนเราเข้าไปไม่มีลูกค้า แกเห็นเราเลือกๆ ของอยู่ก็เข้ามาแนะนำ เหล้าตัวนั้นอร่อย ตัวนี้ดี เลยได้มาซะหลายขวดเลย
และที่นี่ก็มีเหล้านาเบะชิม่าจริงๆ ด้วย เทรุซื้อ regular label มาหนึ่งขวด เห็นแบบ nama (คือสาเกแบบไม่ผ่านการกลั่น ต้องใส่ตู้เย็นตลอดเวลาจนกว่าจะดื่มหมดขวด) แต่เป็นขวดใหญ่ 1.8 ลิตร เลยไม่เอาเพราะมันใส่ตู้เย็นบ้านเราไม่ได้
ตอนจ่ายตังค์ก็เลยถามเค้าว่าขวดเล็กไม่มีเหรอ พี่ชายใจดีเลยไปเอาที่หลังร้านมาให้ เขามีเก็บไว้ไม่กี่ขวดจะขายให้คนที่จะเอาไปดื่มจริงๆ (มันมีคนมาซื้อไปปล่อยขายใน auction ไง) แอบขำอ่ะ มีหมกเม็ดด้วย
กินปลามาหลายมื้อแล้ว มื้อเย็นมื้อสุดท้าย ขอกินเนื้อหน่อยละกัน
ที่ซากะ เนื้อวัวคุณภาพดีและอร่อยมาก ติดแบรนด์เหมือนเนื้อโกเบนั่นแหละ วันแรกที่มาก็ได้ลองชิมไปนิดหน่อยแล้วที่เรียวกัง แต่วันนี้ขอจัดแบบฟูลคอร์สเลย
มีเป็นคอร์ส เริ่มจากสี่พันเยน หรือจะสั่งเป็นจานก็ได้ เป็นคอร์สจะมีเนื้อหมู เนื้อไก่ด้วย ก็เลยสั่งเป็นจานมา ทั้งหมดนี่รวมอาหารและน้ำด้วย มื้อนี้จ่ายไปประมาณแปดพันเยน
เนื้อนุ่มจริงแต่ค่อนข้างมัน กินได้ไม่เยอะเลี่ยนซะก่อน คนละประมาณ 200 กรัมคือกำลังดีนะ ไม่มากหรือน้อยเกินไป
อ่ะ ซูมให้ดูลายเนื้อ อิอิ
2017-07-17 Umi no hi วันแห่งท้องทะเล
เช็คเอ้าท์ เดินทางกลับโตเกียว
คอมเม้นท์รสชาตอาหารที่คิวชู :
อาหารทะเลอร่อยและสดมาก แต่รสชาตอาหารจะออกหวานหมดเลย เพราะว่าโชยุที่คิวชูจะเป็นโชยุแบบหวานไม่เหมือนที่อื่นในญี่ปุ่น
ใหม่เป็นคนชอบทานของหวาน แต่จะไม่ชอบของคาว หรือกับข้าวที่ออกรสหวาน ก็เลยมีหลายอย่างในคอร์สที่ไม่ค่อยชอบ นี่ยังคุยกับเทรุเลยว่า คราวหน้าถ้ามีโอกาสได้มาเที่ยวคิวชูอีก จะพกโชยุมาเอง มันน่าเสียดายมากเพราะซาชิมิอร่อยมากแต่เพราะไม่ชอบโชยุเลยไม่ค่อยเอนจอยอาหารเท่าไหร่