ช่วงนี้กระแส #ย้ายประเทศ มาแรงมากๆ ส่วนตัวใหม่เองก็มีเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ สอบถามมาเรื่องประเทศญี่ปุ่นว่าดียังไง ถ้าจะย้ายมาญี่ปุ่นต้องทำยังไง ยินดีให้คำแนะนำนะคะ แต่ก่อนจะแนะนำ ก็อยากให้ลองอ่านบล็อกนี้ดูก่อน
เล่าเรื่องตัวเองก่อนละกัน
ตัวใหม่เองเป็นเด็กต่างจังหวัดค่ะ เป็นคนชอบเรียนและเรียนดีมาโดยตลอด พ่อแม่ทำงานรัฐวิสาหกิจ ก็ถือว่าเป็นชนชั้นกลางธรรมดาๆ พอมีพอกินไม่ได้ร่ำรวยอะไร ใหม่มีความฝันอยากไปเรียนต่อเมืองนอกตั้งแต่เด็กๆ เรียกได้ว่าความตั้งใจแน่วแน่มากค่ะ ก็หาทุน สอบนู่นสอบนี่มาเรื่อยๆ แต่ด้วยความที่เราเป็นลูกคนเล็ก เป็นผู้หญิงด้วย พ่อแม่ก็เป็นห่วงว่าถ้าให้ไปตั้งแต่เด็กๆ เราจะดูแลตัวเองได้มั้ย เค้าก็ไม่อยากให้ไป แต่ก็สนับสนุนให้เรียนภาษา แม้เราไม่ได้มีเงินมากมาย แต่ถ้าขอพ่อแม่ก็ขวนขวายหาเงินมาให้ได้เรียนเสมอ อันนี้ต้องขอบคุณพ่อแม่มากๆ ที่ให้โอกาสลูก
จนเข้าเรียนมหาลัย (คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) เราก็ยังอยากไปอยู่ พ่อแม่ก็คงเห็นว่าเราออกจากบ้านมาอยู่คนเดียว สามารถดูแลตัวเองได้แล้ว บรรลุนิติภาวะแล้ว ก็เลยอนุญาตให้ไป ตอนแรกก็มุ่งเป้าไปที่ประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษอย่างอเมริกา ออสเตรเลีย แต่ตอนนั้น ใหม่ได้เจอกับเทรุ (แฟน) แล้ว เริ่มมีการคบหากันแนะนำให้ที่บ้านรู้จัก เทรุก็ชวนว่า ลองมาเรียนต่อที่ญี่ปุ่นดีมั้ย ใกล้บ้านกว่าอเมริกา และจะได้เรียนภาษาต่างประเทศที่ 2 ด้วย ตอนนั้นภาษาอังกฤษเราก็พอได้แล้ว ก็เลยคิดว่า ญี่ปุ่นก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีนะ
ที่มหาลัยมีสัญญาแลกเปลี่ยนกับมหาลัยชื่อดังทั่วโลกมากมาย ในปีที่ใหม่ตัดสินใจจะสมัครเรียนแลกเปลี่ยน ธรรมศาสตร์ก็เซ็นสัญญาแลกเปลี่ยนกับมหาวิทยาลัยเกียวโต ซึ่งเป็นมหาลัยที่ดีเป็นอันดับ 2 ของญี่ปุ่น และอยู่ในเมืองบ้านเกิดเทรุด้วย ทุนสนับสนุนก็มากกว่าฝั่งอเมริกา ก็เลยตัดสินใจเลือกที่นี่
เรื่องทุน ที่ญี่ปุ่นมีเยอะมาก ทั้งของภาครัฐและเอกชน ใครที่อยากมาเรียนก็ให้ลองหาดีๆ แต่ขอบอกก่อนว่า you have to work for it การแข่งขันสูงมากค่ะ คนอยากได้ทุนมีเยอะแยะเลย
สรุปว่าในตอนนั้น ใหม่ก็ได้ทุนของ Jasso (Japan Student Services Organization) ซึ่งเป็นทุนสนับสนุนแบบให้รายเดือน ตอนนั้นได้ 80,000 เยนค่ะ หอก็พักของมหาลัยซึ่งค่าเช่ารายเดือนไม่แพงเลย ประกอบกับทำงานสอนภาษาด้วยอะไรด้วย ขอเงินที่บ้านมา 100,000 บาท ตอนเรียนจบกลับไทยมีเงินเหลือกลับด้วย
ชีวิตปีแรกที่ญี่ปุ่นสนุกมากค่ะ เพื่อนเยอะ และหลายๆ คนก็ยังคบกันเป็นเพื่อนที่ดีจนถึงทุกวันนี้

คลิกอ่าน บล็อกสมัยที่เขียนตอนเรียนที่ญี่ปุ่นปีแรก
ตอนนั้นเราก็หาข้อมูลเรื่องเรียนปริญญาโท ติดต่อหาอาจารย์ที่ปรึกษาอะไรไว้ พอจบหนึ่งปี ก็กลับมาเรียนต่อที่ธรรมศาสตร์ปีสุดท้าย ใหม่เรียน 5 ปีนะ รับปริญญาพร้อมรุ่นน้อง เพราะม.เกียวโตที่ไปเขาใช้ระบบ 2 หน่วยกิจขณะที่ธรรมศาสตร์ใช้ 3 หน่วยกิจ ทำให้เทียบโอนไม่ได้ ก็ไม่เป็นไรค่ะ ถือว่าเป็นค่าประสบการณ์ ส่วนเรื่องภาษาญี่ปุ่นถามว่าหนึ่งปีผ่านไปได้มากน้อยแค่ไหน ก็พอสื่อสารได้ เอาตัวรอดได้
ระหว่างที่รอรับปริญญา เราก็ทำเรื่องเรียนต่อปริญญาโท ทำเอกสารขอทุนต่างๆ เลือกขอทุนมงแบบ University recommended เรียนภาคอินเตอร์ สาขาเดิมที่ Ritsumeikan University ที่เกียวโต (ไม่ใช่ Ritsumeikan Asia Pacific University ที่อยู่คิวชูนะ ม.เดียวกันแหละแต่ที่เกียวโตเป็น parent university) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังของฝั่งคันไซ ที่โตเกียวจะมีวาเซดะ เคโอ ใช่มะ คันไซก็จะมีริซชุเมคังกับโดชิชะนี่แหละ อ่านมาถึงตอนนี้ เหมือนจะดีใช่มะ แต่จะบอกว่า แป๊ก ไม่ได้ทุนล่ะ คงมีคนที่เขียน research proposal ดีกว่าเรา ตอนนั้นก็เฟลแหละ แต่ก็ต้องหาทางต่อไป ที่คิดได้ตอนนั้นมีอยู่ 2 ทางเลือกคือ
- ลองใหม่ปีหน้า
- สมัครใหม่ ไปด้วยทุนตัวเอง หาทุนสมทบทีหลัง
ซึ่งพอได้ปรึกษากับหลายๆ คนแล้ว ก็ตัดสินใจเลือกทางเลือกที่สอง อย่างที่บอกว่าญี่ปุ่นมีทุนมากมายสำหรับนักเรียนต่างชาติ อาจจะไม่ใช่ full scholarship แต่ถ้าที่บ้านพอมีทุนสนับสนุนได้ ก็ไปโลดจ้า ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ นะ ทุกอย่างคือการลงทุน
พอมาแล้วก็ได้ทุนจาก JASSO เจ้าเดิมเช่นเคย คราวนี้ลดเหลือแค่เดือนละ 70,000 เยน ค่าเทอมได้ partial support จากมหาลัยและเทรุช่วยสมทบ (นางเป็นแฟนที่ประเสริฐมาก เราโชคดีที่ได้เจอคนดีๆ) วันที่ออกจากบ้านมาเรียน พ่อแม่ให้เงินมา 200,000 บาท ตลอด 2 ปีที่เรียนปริญญาโท ไม่เคยได้รบกวนที่บ้านอีกเลย ไม่พอก็ทำงานหาเอา ใหม่ไม่ทำงานร้านอาหารนะคะ เพราะเทรุไม่สนับสนุน บอกว่าเหนื่อย ให้ทำงานอะไรที่ได้ใช้สมองมากกว่าแรงกาย ก็เลยสมัครเป็น Teaching assistant ที่มหาลัย ค่าแรงตอนนั้นถ้าจำไม่ผิดได้ชั่วโมงละ 1,200 เยน ช่วยอาจารย์สอน นศ ปริญญาตรีค่ะ ภาษาญี่ปุ่นก็ไปขอเรียนฟรีที่มหาลัยเก่าเพราะที่ใหม่ไม่มีคอร์สภาษาญี่ปุ่นให้เรียน เรียนจบมา ภาษาญี่ปุ่นก็ดีขึ้นมาก แต่ยังไม่ถึงขนาดที่จะทำงานที่ญี่ปุ่นได้
คลิกอ่าน บล็อกที่เขียนสมัยเรียนปริญญาโท
จุดเปลี่ยนในชีวิตมันอยู่ตอนที่เรียนจบปริญญาโท เทรุได้ย้ายไปทำงาน/เรียน/วิจัยที่เยอรมัน ก็มีตัวเลือกว่า 1. เรียนปริญญาเอกต่อ 2. หางานทำแล้วอยู่ญี่ปุน 3. กลับไปหางานทำที่ไทย หรือ 4. แต่งงานแล้วไปเยอรมันด้วยกัน
เวลาเรามีไม่มาก ต้องรีบตัดสินใจจะได้สมัครเรียน/หางาน/ขอวีซ่า สุดท้ายแล้วก็เลือกแต่งงานแล้วไปเยอรมัน
เรียนมาจบใหม่ๆ ไฟแรงอยากทำงาน แต่ไปเยอรมันแล้วทำงานไม่ได้ด้วยเงื่อนไขของวีซ่าติดตาม (ไม่ลงรายละเอียดละกันเนอะ) ก็มาคิดว่าระหว่างที่อยู่ที่นี่เราจะทำอะไรที่เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้ตัวเองเมื่อกลับไปหางานที่ญี่ปุ่นได้ ก็เลยลงเรียนภาษาเยอรมัน สอบใบขับขี่เยอรมัน (ซึ่งตอนหลังเราเอามา Transfer เป็นใบขับขี่ญี่ปุ่นได้โดยไม่ต้องสอบ) แล้วก็ลงคอร์สเรียนการสอนภาษาอังกฤษของเคมบริดจ์ที่เรียกว่า Certificate in English Language teaching to adults หรือ CELTA กว่าจะจบนี่หืดขึ้นคอเลย แม้ว่าจะคล่องภาษาอังกฤษแค่ไหน เราก็ไม่ใช่เจ้าของภาษา มันไม่ใช่แค่นั่งเรียนเขียนเปเปอร์สวยๆ จะจบ เราต้องทดลองสอนจริงรับการประเมินจริงด้วย สุดท้ายก็ผ่านมันมาได้ล่ะ เกรดดีด้วย
คลิกอ่าน บล็อกที่เขียนตอนอยู่เยอรมัน
1 ปีที่เยอรมันผ่านไป เทรุ (ที่ตอนนี้เปลี่ยนสถานะมาเป็นสามี) ก็ได้รับคำสั่งให้กลับไปญี่ปุ่น แล้วเราสองคนก็ย้ายมาโตเกียว สามีเรียนปริญญาเอกต่อ ใหม่ที่ตอนนั้นเริ่มหางานจริงจังตอนอายุ 26 แรกๆ ก็เน้นหางานสอนภาษาเพราะเราเพิ่งเรียนจบมา แต่ความจริงอันแสนเจ็บปวดของการหางานสายนี้ก็คือ เราไม่ได้มีลุค “ต่างชาติ” แบบฝรั่ง พอสมัครงานไปเขาก็ไม่เลือก เขาอยากได้คนที่ดูเป็นต่างชาติมากๆ แม้จะไม่มีประสบการณ์หรือจบตรงมาก็ตาม ก็แอบเฟลนะ แต่เราก็สู้ต่อ
ในเมื่องานสอนภาษามันไม่ใช่แนวเรา ก็ลองหางานประจำธรรมดาแทนก็แล้วกัน สมัครไปหลายที่ไม่มีที่ไหนเลือกเลย ก็เลยคิดว่า ภาษาเราคงจะดีไม่พอ ตัดสินใจไปเรียนภาษาญี่ปุ่น เสียเวลาไปอีกปีกว่า แต่ก็ถือว่าคุ้มค่ะ เรียน 1.5 ปี ก็สอบได้ N-2 เพิ่มโอกาสในการหางานได้เยอะมาก เพราะพอเราเรียนจบก็ได้งานประจำเลย
ตอนที่เรียนภาษานี่แหละที่มีโอกาสได้ทำงานร้านอาหาร ที่ทำก็เพราะอยากฝึกภาษาล้วนๆ เลย การทำงานร้านอาหารเราจะฝึกภาษาญี่ปุ่นแบบสุภาพที่เรียกว่าเคโกะด้วย เพราะเราต้องใช้พูดกับลูกค้า ก็ทำอยู่แค่ไม่กี่เดือน พอเริ่มเตรียมตัวสอบวัดระดับเราก็เริ่มต้องติวหนักขึ้น การบ้านก็เยอะ ก็เลยเลิกทำไป แต่ก็ได้ประสบการณ์ดีๆ มาเพียบเลย เราไม่ดูถูกเงินน้อย เงินที่หามาได้น้ำพักน้ำแรงของตัวเองจะมากจะน้อยก็ภูมิใจค่ะ

เรื่องเรียนภาษาและหางานเคยเขียนบล็อกแยกไว้แล้ว ถ้าสนใจลองกดเข้าไปอ่านดูได้ค่ะ
งานประจำที่แรกที่ทำ Business Development ให้กับบริษัท Travel and hospitality แห่งนึงในญี่ปุ่น หน้าที่หลักๆ เลยก็คือติดต่อประสานงานกับคนที่สาขาต่างประเทศ ad hoc ต่างๆ ก็คืองานแปล งานล่าม เป็นผู้ประสานงานกรุ๊ปทัวร์ ทำอยู่ที่นี่สามปี ได้เจอเพื่อนร่วมงานดีๆ เยอะมาก (คนไม่ดีก็มีแหละแต่ลืมละ จำแต่คนดีๆ ก็พอ) แต่เงินน้อย งานหนัก เรารับงานนี้แม้จะรู้ว่าเงินน้อยก็เพราะว่าอยากได้ประสบการณ์ไปใส่ในเรซูเม่ ก็ถือว่าเวลาผ่านมาพอสมควรแล้ว ได้เวลา move on
ตอนที่จะลาออก มีโอกาสได้ทำโปรเจคที่เกี่ยวกับ Digital contents สายงานนี้ก็ค่อนข้างเป็นที่ต้องการของตลาดก็เลยเปลี่ยนดู ลาออกมา แล้วก็มาได้งานที่ใหม่
ที่ใหม่นี่ ก็ยังคงเป็นองค์กรญี่ปุ่นเหมือนเดิม งานนี้ตอนแรกที่ไปสัมภาษณ์คือเนื้อหางานน่าสนใจมาก ตรงกับความสนใจในด้าน digital marketing แต่พอไปทำจริงคนละเรื่องเลย ทีมลีดเดอร์ก็ไม่ดี คือศึกหลายทางเลยค่ะ ช่วงนั้นก็เครียดมาก ชนิดที่ตื่นเช้ามาไม่อยากไปทำงาน กลับมาก็มานั่งซึมร้องห่มร้องไห้ จนเทรุบอกว่า ถ้ามันจะทุกข์ขนาดนั้นก็ลาออกเถอะ พอทำใจได้ก็ตัดสินใจไปแจ้งลาออก หัวหน้าเราในตอนนั้น ก็บอกว่าให้คิดดีๆ ก่อน เค้าจะช่วยย้ายไปทำแผนกอื่นให้ ถ้าไม่เวิร์คค่อยว่ากันใหม่ ก็เลยมาจบที่ตำแหน่งปัจจุบัน เป็น Brand/corporate Communication หน้าที่หลักก็คือติดต่อกับคนที่ บ ลูกในต่างประเทศ แล้วก็เขียนคอนเท้นท์ให้เว็บบริษัท ad hoc ก็มีเป็นล่ามในการประชุม แปลเอกสารต่างๆ รวมถึดจดบันทึกการประชุมด้วย ที่นี่ดีหน่อยที่งานไม่หนักค่ะ แทบไม่มีโอทีเลย
***ที่ญี่ปุ่นงานส่วนใหญ่จะไม่มี job title นะคะ ยกเว้นถ้าขึ้นเป็นเมเนเจอร์แล้วก็จะมีตำแหน่งเป็น General manager อะไรไป ที่บอกว่าทำตำแหน่งนู้นนี้นั่นคือคิดเอาเองว่าหน้าที่ที่ทำตอนนี้มันน่าจะตำแหน่งนี้ล่ะ
ถ้าสายศิลป์ ภาษาญี่ปุ่นค่อนข้างสำคัญมากค่ะ ยิ่งไปกว่านั้นคือวัฒนธรรม บริษัทส่วนใหญ่ไม่ได้ต้องการ foreigner แต่เค้าต้องการ Japanized foreigner ค่ะ เค้าหวังว่าเราจะมีความใหม่บ้างในเชิงความคิด แต่เค้าไม่ได้ต้องการโจนส์ ออฟ อาร์ค มาเป็นผู้เปลี่ยนแปลงบริษัท
กิ๊ฟจังนั่งเล่า
มีเพื่อนถามเหมือนกันว่า ทำไมไม่ไปทำบริษัทต่างชาติในญี่ปุ่นล่ะ น่าจะเหมาะกับเรามากกว่า ยอมรับว่าตอนเปลี่ยนงานก็รีบด้วยค่ะ เพราะลาออกมาแล้ว คิดว่าถ้าได้ที่ไหนก็เอาเลย ไม่ได้ถามคำถามที่ควรจะถาม เช่น training, career track ของคนต่างชาติอะไรต่างๆ อีกอย่างก็คือเรามาสายมาร์เก็ตติ้ง บ.ต่างชาติในญี่ปุ่นส่วนใหญ่เขาก็ทำการตลาดในญี่ปุ่น ไม่ได้ต้องการคนที่มีความเชี่ยวชาญตลาดต่างประเทศเหมือนเรา และก็ภาษา ภาษาญี่ปุ่นดีจริง แต่ยังไงก็ไม่ใช่เจ้าของภาษา งานอะไรก็ตามที่ require native fluency เขาก็จะเลือกคนญี่ปุ่นก่อนเสมอ
พอจะหางานใหม่ก็ท้องอากิพอดี ก็เลยคิดว่าไว้ลาคลอดกลับมาค่อยว่ากันใหม่ ไปๆ มาๆ ก็ทำบริษัทปัจจุบันนี้มาได้ 4 ปีกว่าแล้ว ซึ่งก็รู้สึกนะว่าไม่มีความก้าวหน้าใดๆ ระดับสูงๆ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนที่ถูกส่งมาจาก บ.แม่ ซึ่งถ้ามีโอกาสได้ขยับขยายต่อไปในอนาคตก็คงได้ ไม่ซีเรียสว่าต้องเป็นตำแหน่งพนักงานประจำ
พึงระลึกไว้เสมอว่า การเริ่มต้นใหม่ที่เมืองนอกไม่ว่าประเทศใดๆ ก็ตาม เราไม่ได้เริ่มจากศูนย์ แต่เราเริ่มจากติดลบเลย ทำยังไงเราจะ stand out ในเมื่อประเทศเค้าก็มีคนท้องถิ่นที่มีความรู้ความสามารถอยู่แล้ว ทำไมเขาต้องจ้างเรา
บางคนถามว่า พี่คะ หนูไม่ได้ภาษาเลยค่ะ อยากไปเรียนเมืองนอก อยากไปทำงานเมืองนอก ต้องทำยังไงดี ก็จะตอบง่ายๆ เลยค่ะว่า ไม่ได้ก็เรียนค่ะ ไม่มีทางลัดใดๆ ทั้งสิ้น
เราไม่ขายฝันเนอะ
ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ
อยู่เมืองนอกไม่ได้สบาย
แม่บ้าน hipster
บางคนถามนะว่า จะดิ้นรนทำงานทำไม สามีไม่เลี้ยงเหรอ เลี้ยงจ้า ถ้าจะออกมาเป็นแม่บ้านก็คงเลี้ยงแหละ แต่อยากทำงานเองไง หาเงินได้มันภูมิใจนะ อยากใช้อะไรก็ไม่ต้องขอ ไม่ต้องเกรงใจ
สถานะทางวีซ่าปัจจุบันใหม่เป็น Permanent Resident มาญี่ปุ่นครั้งแรกในปี 2007 ถ้านับแต่เวลาที่อยู่ญี่ปุ่นจริงๆ ก็ 11 ปี
เดี๋ยวคราวหน้าจะมาตอบคำถามต่างๆ ที่มีคนถามมา คิดไว้คร่าวๆ ประมาณนี้ ใครมีอะไรจะถามอีกก็คอมเม้นท์ได้เลย ถ้าตอบได้ตอบทุกคำถามแน่นอนจ้า ตั้งใจจะเขียนวันนี้ล่ะแต่จะยาวไปละ ไว้มาต่อคราวหน้า
FAQ
- หาทุนการศึกษายังไงดี
ตอบ :
2. เรียนภาคภาษาญี่ปุ่นหรือภาคภาษาอังกฤษดี ข้อดีข้อเสียเปรียบเทียบกัน
ตอบ :
3. เรียนภาษาญี่ปุ่นที่ไหน ต้องได้แค่ไหนถึงจะทำงานที่ญีปุ่นได้ ถ้าไม่ได้เลย ได้แต่ภาษาไทย หรือไทย-อังกฤษ หางานได้มั้ย
ตอบ :
4. สายงานไหนที่ญี่ปุ่นต้องการ post-covid
ตอบ :
5. วีซ่าญี่ปุ่นมีกี่แบบ ขอยากมั้ย
ตอบ :
6. ถ้าอยากเป็น PR หรือ Citizen ต้องทำยังไง
ตอบ :
© 2021 K.Kirati All Rights Reserved
Unauthorized use and/or duplication of this material without express and written permission from this site’s author and/or owner is strictly prohibited. Excerpts and links maybe used, provided that full and clear credit is given to k.kirati and kirakirati.com with appropriate and specific direction to the original contents.